วันพฤหัสบดีที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2555
วันอังคารที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2555
อุบัติเหตุ
เยาวชนไทยกว่า 20,000 ราย จบชีวิตจากการซิ่งรถยามวิกาล
หลังจากที่ได้นำรถออกจากอู่ตอนบ่าย กับรถ BENZ 300 E
เอารถไปเข้าอู่เพื่อดูแลตามปกติ เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง.
น้ำมันเกียร์เข็คโน่นเช็คนี่ตามเลขที่กิโลตามกำหนด
น้ำมันเกียร์เข็คโน่นเช็คนี่ตามเลขที่กิโลตามกำหนด
ที่ผ่านมาไม่เคยมีปัญหาเลย แต่วันนี้เกิดเหตุไม่คาดฝันจนได้
เคยได้ยินไหม 'เกียร์หลุด' ไม่ใช่หลุดออกมา ไม่ใช่เข้าเกียร์ไม่ได้
เคยได้ยินไหม 'เกียร์หลุด' ไม่ใช่หลุดออกมา ไม่ใช่เข้าเกียร์ไม่ได้
แต่มันหลุดไปอยู่ที่เกียร์ถอย R
อาการเป็นอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเข้าเกียร์อะไรก็ควบคุมรถไม่ได้
อาการเป็นอย่างไร ไม่ว่าคุณจะเข้าเกียร์อะไรก็ควบคุมรถไม่ได้
ไม่ว่าจะอยู่ที่ P, D, 3 หรือ 2
ทุกเกียร์รถจะถูกสั่งให้ถอยหลังทั้งหมด ยิ่งคุณพยามยามจะเดินหน้า
ทุกเกียร์รถจะถูกสั่งให้ถอยหลังทั้งหมด ยิ่งคุณพยามยามจะเดินหน้า
โดยผลักไปที่ D แล้วเหยียบคันเร่ง
เครื่องยนต์จะถูกเร่งให้ถอยหลังแรงขึ้น
เครื่องยนต์จะถูกเร่งให้ถอยหลังแรงขึ้น
ยกเว้นคุณจะเหยียบเบรคอยู่อย่างนั้น
จะมีประสิทธิภาพเมื่อรถจอด
ป้องกันไม่ให้ไหลเท่านั้น
เย็นวันนั้นหลังเลิกงาน แวะ Shopping ที่ห้างเดอะมอล์
ผ่านจากจุดรับบัตรตรงทางเข้า
ไปเล็กน้อยก็เห็นที่มีที่จอดรถว่างอยู่ เป็นทางลาดเล็กน้อย
ไปเล็กน้อยก็เห็นที่มีที่จอดรถว่างอยู่ เป็นทางลาดเล็กน้อย
(เล็กน้อยจริงๆ) ก็เลยเปิดไฟกระพริบ
เปลี่ยนเป็นเกียร์ R เพื่อถอยหลังเข้าที่จอด ถอยไปได้ครึ่งคัน
เปลี่ยนเป็นเกียร์ R เพื่อถอยหลังเข้าที่จอด ถอยไปได้ครึ่งคัน
เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยตรงเท่าไหร่
ก็เปลี่ยนเป็น D เพื่อให้รถเดินหน้าจะได้ตั้งลำถอยใหม่
ตอนนี้เองรถไม่ยอมเดินหน้า ถอยหลังซะงั้น
ก็เริ่มแปลกใจ หันมามองหน้ากัน เกิดอะไรขึ้น
รีบเหยียบเบรค เข้าเกียร์ D ใหม่เหยียบคันเร่งเบา ๆ
ก็เปลี่ยนเป็น D เพื่อให้รถเดินหน้าจะได้ตั้งลำถอยใหม่
ตอนนี้เองรถไม่ยอมเดินหน้า ถอยหลังซะงั้น
ก็เริ่มแปลกใจ หันมามองหน้ากัน เกิดอะไรขึ้น
รีบเหยียบเบรค เข้าเกียร์ D ใหม่เหยียบคันเร่งเบา ๆ
รถกลับถอยหลังแรงขึ้นไปอีก ก็เหยียบเบรคอีก
แต่กำลังของรถมันคอยจะถอยอย่างเดียว เครื่อง ดังหึ่ง ๆ จะถอยลูกเดียว
ทีนี้คิดว่าจะทำอย่างไรดีไม่เคยเจอ
แต่กำลังของรถมันคอยจะถอยอย่างเดียว เครื่อง ดังหึ่ง ๆ จะถอยลูกเดียว
ทีนี้คิดว่าจะทำอย่างไรดีไม่เคยเจอ
ก็เลยให้อีกคนเปิดประตูลงมามองหาว่ามันมีที่กั้นล้อด้านหลังไหม
จะได้กั้นรถไว้ได้ เพราะด้านหลังเป็นท่อแก๊ส และท่อน้ำขนาดใหญ่ของห้าง
จะได้กั้นรถไว้ได้ เพราะด้านหลังเป็นท่อแก๊ส และท่อน้ำขนาดใหญ่ของห้าง
ถ้าถอยไปชน จะเกิดอะไรขึ้น ?
พอลงไปดูเห็นมีที่กั้นค่อยโล่งใจหน่อย ก็เลยตะโกนบอกมีที่กั้น
พอลงไปดูเห็นมีที่กั้นค่อยโล่งใจหน่อย ก็เลยตะโกนบอกมีที่กั้น
จอดเลยไม่ต้องถอยแล้ว
คนขับก็เหยีบเบรค และเลื่อนเกียร์มาที่เกียร์ว่าง N
คนขับก็เหยีบเบรค และเลื่อนเกียร์มาที่เกียร์ว่าง N
ห่างจากจุดที่กั้นเป็นปูนประมาณ 2 คืบได้
แล้วก็ปล่อยเบรค เพื่อจะดับเครื่องจอด
แล้วก็ปล่อยเบรค เพื่อจะดับเครื่องจอด
ทันใดนั้นเองสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือ
รถกระโดดข้ามไปอยู่บนที่กั้นด้วยความเร็วและแรงมากในชั่ววินาทีเดียว
รถกระโดดข้ามไปอยู่บนที่กั้นด้วยความเร็วและแรงมากในชั่ววินาทีเดียว
วินาทีเดียวจริง ๆ
ซึ่งคนที่ยืนดูท้ายอยู่ อยู่ห่างจากตัวรถทางด้านข้างไม่ถึงฝ่ามือ ยืนตะลึง
ซึ่งคนที่ยืนดูท้ายอยู่ อยู่ห่างจากตัวรถทางด้านข้างไม่ถึงฝ่ามือ ยืนตะลึง
แรงของรถ กระแทกท่อแก๊สกับท่อน้ำอย่างแรง
กันชนแตกเละ โครมเบ้อเริ่ม
กันชนแตกเละ โครมเบ้อเริ่ม
สิ่งที่ทำตอนนั้นคือ ตะโกน ดับเครื่อง ดับเครื่อง ดับเครื่อง
หลายคนคงสงสัยแล้วแล้วจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ ก็ค่อยๆ
หลายคนคงสงสัยแล้วแล้วจากนั้นเป็นอย่างไรต่อ ก็ค่อยๆ
มองซ้ายมองขวาช่วยกันเข็นรถที่มันคาอยู่บนขอบปูน และกำลัง
เบียดท่อแก๊สกับท่อน้ำ ออกหนะสิ โชคดีมาก ๆ ท่อเป็นเหล็กหนามาก
ไม่อย่างนั้น
คนที่ดูหลังอยู่ด้านท้าย คงไม่มีโอกาสมาเล่าให้ฟัง
เบียดท่อแก๊สกับท่อน้ำ ออกหนะสิ โชคดีมาก ๆ ท่อเป็นเหล็กหนามาก
ไม่อย่างนั้น
คนที่ดูหลังอยู่ด้านท้าย คงไม่มีโอกาสมาเล่าให้ฟัง
คงจะแบนไปกับท่อแก๊สไปแล้ว
* ทุกคนคงอยากดูรูป แต่ตอนนั้นตกใจลืมนึกไป *
สิ่งที่อยากจะฝากเตือนทุกคนก็คือ
1. เมื่อเกิดเหตุควบคุมรถไม่ได้เพราะเกียร์หลุด
* ทุกคนคงอยากดูรูป แต่ตอนนั้นตกใจลืมนึกไป *
สิ่งที่อยากจะฝากเตือนทุกคนก็คือ
1. เมื่อเกิดเหตุควบคุมรถไม่ได้เพราะเกียร์หลุด
ต้องดับเครื่องยนต์ทันที (คำแนะนำของช่าง)
เพราะรถที่เกียร์หลุด จะไม่สามารถควบคุมได้เด็ดขาด
เพราะรถที่เกียร์หลุด จะไม่สามารถควบคุมได้เด็ดขาด
ยกเว้นหลุดไปเป็นเกียร์ว่าง
2. เวลาจะถอยหลัง หรือออกรถ ระวังอย่าให้มีคนยืนอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังเด็ดขาด เพราะส่วนใหญ่ เวลาถอยรถ เรามักมีคนไปด้วยช่วยลงไปดู
2. เวลาจะถอยหลัง หรือออกรถ ระวังอย่าให้มีคนยืนอยู่ด้านหน้าหรือด้านหลังเด็ดขาด เพราะส่วนใหญ่ เวลาถอยรถ เรามักมีคนไปด้วยช่วยลงไปดู
เพราะไม่แน่ใจหรือคอยระวังรถคันอื่น
3. รถที่พึ่งออกจากอู่ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีข้อผิดพลาด
4. สติของคนขับ สำคัญมาก แม้ประสบการณ์หลายสิบปี ก็อาจควบคุมไม่ได้
3. รถที่พึ่งออกจากอู่ ไม่ได้หมายความว่า จะไม่มีข้อผิดพลาด
4. สติของคนขับ สำคัญมาก แม้ประสบการณ์หลายสิบปี ก็อาจควบคุมไม่ได้
ด้วยความปรารถนาดี เพื่อเป็นประสบการณ์หากเกิดเหตุฉุกเฉิน
attach image:
สารอาหาร5หมู่
อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน
อาหารหลัก 5 หมู่...คุณรู้ดีแค่ไหน (สสส.)
มีแรงจูงใจ 2 ประการที่จำเป็นจะต้องนำอาหารหลัก 5 หมู่ มาทบทวนตอกย้ำ ทั้งที่ทราบดีว่าคนไทยส่วนมากรู้จักมักคุ้นอยู่แล้ว
แต่มีคนจำนวนไม่น้อยที่พอพูดถึงอาหารหลัก 5 หมู่ มักจะบอกเป็นสารอาหาร 5
ชนิด แทนการบอกชนิดของอาหาร ซึ่งแม้ว่าจะไม่ใช่ประเด็นที่สำคัญมากนัก
แต่อยากจะให้คนไทยได้มีความเข้าใจที่ตรงกัน
อีกประการหนึ่ง อาจจะดูเป็นเรื่องตลกแต่สะท้อนใจให้เห็นอะไรบางอย่าง เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นนานมาแล้ว
ที่
หมู่บ้านชนบทแห่งหนึ่งมีนักวิชาการไปสอนใช้ชาวบ้าน กินอาหารให้ครบ 5 หมู่
อธิบายอย่างยืดยาวแล้วบอกชาวบ้านว่า เดือนหน้าจะมาเพื่อติดตามดูว่า
ชาวบ้านกินครบ 5 หมู่หรือไม่
พอครบหนึ่งเดือนนักวิชาการกลับมายังหมู่บ้านแห่งนั้น
เริ่มด้วยการถามคุณยายคำ อายุ 70 ปี ว่ากินอาหารครบ 5 หมู่ไหม
ยายคำตอบชัดถ้อยชัดคำว่าเพิ่งกินได้แค่ 5 หมู่เอง หมู่ที่ 5 ยังไม่ได้กิน
นักวิชาการถามกลับไปว่าเพราะเหตุใด ยายคำตะโกนก้องว่าหมู่ 5
อยู่ไกลมากเดินไปกินไม่ไหวยายคำคิดว่านักวิชาการบอกให้กิน
เป็นรายหมู่บ้าน เรื่องนี้น่าจะเกิดการผิดพลาดแน่นอน
หากนักวิชาการมีวิธีการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพกับชาวบ้าน
ส่วนความสับสนระหว่างการเรียกชื่ออาหารให้ครบ 5 หมู่ กับเรียกสารอาหาร 5 ชนิด แทนนั้นจะขอทบทวนให้เข้าใจตรงกันดังนี้
หมู่ที่ 1 เรียกว่า นม ไข่ เนื้อสัตว์ต่างๆ ถั่วเมล็ดแห้ง และงานให้สารอาหารโปรตีน ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอ
หมู่ที่ 2 เรียกว่า ข้าว แป้ง เผือก มัน น้ำตาล ให้สารอาหารคาร์โบไฮเดรต เพื่อให้พลังงานแก่ร่างกาย
หมู่ที่ 3 เรียกว่า พืชผักต่างๆ ให้สารอาหารวิตามินและแร่ธาตุเพื่อเสริมสร้างการทำงานของร่างกายให้ปกติ
หมู่ที่ 4 เรียกว่า ผลไม้ต่างๆ ให้สารอาหารและประโยชน์เหมือนหมู่ที่ 3
หมู่ที่ 5 เรียกว่า น้ำมันและไขมันจากพืชและสัตว์ ให้สารอาหารไขมันเพื่อให้พลังงานและความอบอุ่นแก่ร่างกาย
ต่อไปนี้เราไม่ควรเรียก อาหารหมู่ 1 โปรตีน หมู่ 2 คาร์โบไฮเดรต หมู่ 3 วิตามิน หมู่ 4 แร่ธาตุ หมู่ 5 ไขมัน อีกต่อไปแล้ว ควรเรียกชื่ออาหารแทน
เหตุผล
ที่กำหนดอาหารหลัก 5 หมู่ขึ้นก็เพื่อที่จะให้คนไทยกินอาหารให้ได้สารอาหาร
ครบ 5 ชนิด โดยนำเอาอาหารที่มีสารอาหารเหมือนกันมาไว้ในหมู่เดียวกัน
แต่ร่างกายของคนเราต้องการสารอาหารให้ครบทั้ง 5 ชนิดในแต่ละวัน ดังนั้น เราจึงต้องกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ทุกวัน เพราะไม่มีอาหารชนิดในชนิดหนึ่งที่จะให้สารอาหารครบทั้ง 5 ชนิด
อาหารหลัก 5 หมู่
ทุกคนจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่สำหรับอาหารหลัก 5 หมู่ มีดังนี้
ประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรท
ได้แก่ ธัญพืช เผือกมัน กล้วยน้ำว้า ข้าวโพด น้ำตาล ขนมปัง น้ำอัดลมที่ปรุงเจือน้ำตาล ขนมและอาหารแปรรูปที่ทำจากธัญพืชทุกชนิด มีประโยชน์ทำให้ร่างกายมีกำลังหรือเกิดพลังงานให้ไตทำงานไม่พิการ ให้เลือดไม่เป็นพิษ
ประเภทไขมัน
ได้แก่ ไขมันสัตว์ ถั่วหลายชนิด (เว้นถั่วเหลือง) น้ำมันพืช เนย เนื้อ ไข่ มีประโยชน์ให้พลังความร้อน แต่ให้มากกว่าคาร์โบไฮเดรทถึง 2 เท่า
ประเภทโปรตีน
ได้แก่ น้ำนม ปลา หอย ก้ง ปู ไข่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เมล็ดพิช เช่น เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วลิสง มีประโยชน์ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้พลังงาน และอาหารประเภทโปรตีนทั้งหมด ไข่เป็ด เนื้อสัน เครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง มีโปรตีนมากกว่าสิ่งอื่นที่ใกล้เคียงกัน
ประเภทเกลือแร่
แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด คือ
ก. แคลเซี่ยม
มี ในผักต่าง ๆ เช่น กะล่ำปลี ผักคะน้า แตงกวา มะเขือ มะระ ต้นหอม ต้นกระเทียม ฝักทอง พริก ไข่ กุ้งปูปลา นม เมล็ดพืช ช่วยสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง ช่วยให้โลหิตแข็งตัว ควบคุมการเต้นของหัวใจ การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
ข. ฟอสพอรัส
มีในไข่ นม ปลา เมล็ดพืช ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ค. เหล็ก
มีในเลือด ไข่ หอยนางรม ตับ เนื้อสันผักใบเขียว ถั่ว ช่วยในการสร้างเม็ดโลหิตแดง
ง. โซเดียมและโปรตัสเซี่ยม
มีในพืช ผัก อาหารทะเลเกลือ ช่วยในการรักษาระดับน้ำในเลือด และควบคุมภาวะการเป็นกรดหรือด่างของสารเคมีในร่างกาย
จ. ไอโอดีน
มีในอาหารทะเล เกลือ ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมธัยรอยด์ ในการเผาผลาญให้อาหารเกิดประโยชน์แก่ร่างกาย ถ้าขาดจะเกิดโรคคอพอก
ประเภทวิตามิน
แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ดังนี้
วิตามิน A.
มี ในน้ำมันตับปลา, นม, ครีม, เนย, ไข่แดง, ผัก, แตงโม, ผลไม้, ตับ, ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยรักษาเนื้อเยื้อของจมูก หู ตา ปาก และโพรงกระดูกให้แข็งแรง ช่วยระบบทางเดินอาหารและการหายใจ
วิตามิน B1
มี ในเนื้อเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว, หอยนางรม, ผักสีเขียว, เนื้อสัน, เครื่องในสัตว์, ถั่ว, นม, ไข่, ผลไม้สด, กล้วยหอม, เงาะ, มะละกอสุก, ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยให้ระบบประสาททำงานตามปกติ ช่วยให้เกิดอยากอาหาร ช่วยการย่อยอาหาร ช่วยให้เกิดแรงไม่เหนื่อยง่าย
วิตามิน B2
มี ในเนื้อสัน, ตับ, ไข่, ผักสีเขียว, ผลไม้, เนยแข็ง, ถั่วลิสง, ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ช่วยให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ทำงานประสานกันดีขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้ตาและผิวหนังอักเสบ
วิตามิน B4
มีมากในยอดกะถิน, ตับ, ไข่, นม, เนย, เมล็ดพืช, ผลไม้, ผักสีเขียว มีประโยชน์เหมือนวิตามิน B6
วิตามิน B6
มี ในหัวใจ, เนื้อ, ปลา, กล้วยต่าง ๆ กระหล่ำปลี, ถั่วลิสง, มันเทศ, น้ำมันรำ ช่วยในการเปลี่ยนแปลงอาหารโปรตีนและกรมไขมันบางชนิด ช่วยในการเผาผลาญอาหาร รักษาผิวพรรณ
วิตามิน B12
สกัด ได้จากตับ ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง ซึ่งสืบเนื่องจากเมล็ดโลหิตแดงถูกทำลาย หรือกระดูกไขสันหลังย่อนสมรรถภาพในการผลิต โลหิตแดง มีในตับ, ผักสีเขียว, เนื้อ, เมล็ดพืช
วิตามิน C
มี ในส้ม, มะนาว, มะเขือเทศ, ผักสดต่าง ๆ, พริกไทย, กล้วย, ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยปวดตามข้อ ทำให้อวัยวะในร่างกายต้านทานโรคดีขึ้น แต่วิตามินชนิดนี้ร่างกายเก็บเอาไว้ไม่ได้ ถูกทำลายได้ง่ายที่สุด เมื่อร่างกายถูกแสงแดดหรือความร้อน
วิตามิน D
มีในปลาและตับปลา, เนื้อ, ไข่, เมล็ดธัญพืช, กล้วยตาก ช่วยให้ร่างกายใช้แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสให้มีประโยชน์ขึ้น สร้างกระดูกและฟัน
วิตามิน E
มีในเนื้อสัตว์, ไข่สัตว์, พืชสีเขียว, ถั่วงอก ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหมัน
วิตามิน E
มีในผักสีเขียว, ไข่แดง, มะเขือเทศ, ตับ, ดอกกระหล่ำปลี, ผลไม้ต่างๆ ช่วยในการแข็งตัวของเลือดเวลาเกิดบาดแผล
อาหารประเภทน้ำ
ช่วย
ในการย่อยอาหาร โดยทำให้อาหารอ่อนตัวลง ช่วยในการดูดซึมของลำไส้
ช่วยในการขับถ่ายของเสียจากร่างกาย ตลอดจนกากอาหารจากลำไส้ใหญ่
ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและระบายความร้อน จึงควรดื่มน้ำสะอาด
หรือน้ำสุกวันละมาก ๆ
ทุกคนจำเป็นต้องทานอาหารให้ครบ 5 หมู่สำหรับอาหารหลัก 5 หมู่ มีดังนี้
ประเภทแป้งหรือคาร์โบไฮเดรท
ได้แก่ ธัญพืช เผือกมัน กล้วยน้ำว้า ข้าวโพด น้ำตาล ขนมปัง น้ำอัดลมที่ปรุงเจือน้ำตาล ขนมและอาหารแปรรูปที่ทำจากธัญพืชทุกชนิด มีประโยชน์ทำให้ร่างกายมีกำลังหรือเกิดพลังงานให้ไตทำงานไม่พิการ ให้เลือดไม่เป็นพิษ
ประเภทไขมัน
ได้แก่ ไขมันสัตว์ ถั่วหลายชนิด (เว้นถั่วเหลือง) น้ำมันพืช เนย เนื้อ ไข่ มีประโยชน์ให้พลังความร้อน แต่ให้มากกว่าคาร์โบไฮเดรทถึง 2 เท่า
ประเภทโปรตีน
ได้แก่ น้ำนม ปลา หอย ก้ง ปู ไข่ เนื้อสัตว์ต่าง ๆ เมล็ดพิช เช่น เมล็ดถั่วเหลือง ถั่วลิสง มีประโยชน์ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอและให้พลังงาน และอาหารประเภทโปรตีนทั้งหมด ไข่เป็ด เนื้อสัน เครื่องในสัตว์ ถั่วเหลือง มีโปรตีนมากกว่าสิ่งอื่นที่ใกล้เคียงกัน
ประเภทเกลือแร่
แบ่งออกได้เป็น 5 ชนิด คือ
ก. แคลเซี่ยม
มี ในผักต่าง ๆ เช่น กะล่ำปลี ผักคะน้า แตงกวา มะเขือ มะระ ต้นหอม ต้นกระเทียม ฝักทอง พริก ไข่ กุ้งปูปลา นม เมล็ดพืช ช่วยสร้างกระดูกและฟัน ให้แข็งแรง ช่วยให้โลหิตแข็งตัว ควบคุมการเต้นของหัวใจ การหดตัวและคลายตัวของกล้ามเนื้อ
ข. ฟอสพอรัส
มีในไข่ นม ปลา เมล็ดพืช ช่วยในการสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ค. เหล็ก
มีในเลือด ไข่ หอยนางรม ตับ เนื้อสันผักใบเขียว ถั่ว ช่วยในการสร้างเม็ดโลหิตแดง
ง. โซเดียมและโปรตัสเซี่ยม
มีในพืช ผัก อาหารทะเลเกลือ ช่วยในการรักษาระดับน้ำในเลือด และควบคุมภาวะการเป็นกรดหรือด่างของสารเคมีในร่างกาย
จ. ไอโอดีน
มีในอาหารทะเล เกลือ ช่วยควบคุมการทำงานของต่อมธัยรอยด์ ในการเผาผลาญให้อาหารเกิดประโยชน์แก่ร่างกาย ถ้าขาดจะเกิดโรคคอพอก
ประเภทวิตามิน
แบ่งออกได้เป็นหลายชนิด ดังนี้
วิตามิน A.
มี ในน้ำมันตับปลา, นม, ครีม, เนย, ไข่แดง, ผัก, แตงโม, ผลไม้, ตับ, ช่วยให้ร่างกายเจริญเติบโต ช่วยรักษาเนื้อเยื้อของจมูก หู ตา ปาก และโพรงกระดูกให้แข็งแรง ช่วยระบบทางเดินอาหารและการหายใจ
วิตามิน B1
มี ในเนื้อเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว, หอยนางรม, ผักสีเขียว, เนื้อสัน, เครื่องในสัตว์, ถั่ว, นม, ไข่, ผลไม้สด, กล้วยหอม, เงาะ, มะละกอสุก, ช่วยป้องกันโรคเหน็บชา ช่วยให้ระบบประสาททำงานตามปกติ ช่วยให้เกิดอยากอาหาร ช่วยการย่อยอาหาร ช่วยให้เกิดแรงไม่เหนื่อยง่าย
วิตามิน B2
มี ในเนื้อสัน, ตับ, ไข่, ผักสีเขียว, ผลไม้, เนยแข็ง, ถั่วลิสง, ช่วยให้ผิวพรรณผ่องใส ช่วยให้กล้ามเนื้อต่าง ๆ ทำงานประสานกันดีขึ้น ช่วยป้องกันไม่ให้ตาและผิวหนังอักเสบ
วิตามิน B4
มีมากในยอดกะถิน, ตับ, ไข่, นม, เนย, เมล็ดพืช, ผลไม้, ผักสีเขียว มีประโยชน์เหมือนวิตามิน B6
วิตามิน B6
มี ในหัวใจ, เนื้อ, ปลา, กล้วยต่าง ๆ กระหล่ำปลี, ถั่วลิสง, มันเทศ, น้ำมันรำ ช่วยในการเปลี่ยนแปลงอาหารโปรตีนและกรมไขมันบางชนิด ช่วยในการเผาผลาญอาหาร รักษาผิวพรรณ
วิตามิน B12
สกัด ได้จากตับ ช่วยรักษาโรคโลหิตจาง ซึ่งสืบเนื่องจากเมล็ดโลหิตแดงถูกทำลาย หรือกระดูกไขสันหลังย่อนสมรรถภาพในการผลิต โลหิตแดง มีในตับ, ผักสีเขียว, เนื้อ, เมล็ดพืช
วิตามิน C
มี ในส้ม, มะนาว, มะเขือเทศ, ผักสดต่าง ๆ, พริกไทย, กล้วย, ป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ไม่ค่อยปวดตามข้อ ทำให้อวัยวะในร่างกายต้านทานโรคดีขึ้น แต่วิตามินชนิดนี้ร่างกายเก็บเอาไว้ไม่ได้ ถูกทำลายได้ง่ายที่สุด เมื่อร่างกายถูกแสงแดดหรือความร้อน
วิตามิน D
มีในปลาและตับปลา, เนื้อ, ไข่, เมล็ดธัญพืช, กล้วยตาก ช่วยให้ร่างกายใช้แคลเซี่ยมและฟอสฟอรัสให้มีประโยชน์ขึ้น สร้างกระดูกและฟัน
วิตามิน E
มีในเนื้อสัตว์, ไข่สัตว์, พืชสีเขียว, ถั่วงอก ช่วยป้องกันไม่ให้เป็นหมัน
วิตามิน E
มีในผักสีเขียว, ไข่แดง, มะเขือเทศ, ตับ, ดอกกระหล่ำปลี, ผลไม้ต่างๆ ช่วยในการแข็งตัวของเลือดเวลาเกิดบาดแผล
อาหารประเภทน้ำ
วันพฤหัสบดีที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2555
การเจริญเติบโตของทารก
การเจริญเติบโตของทารก
การเจริญเติบโตของเด็กแม้จะเป็นกระบวนการต่อเนื่อง
แต่ก็จะมีความแตกต่างในแต่ละวัย ในวัยทารกอัตราการเจริญเติบโตต่อนข้างสูง
ถ้ามีการเปรียบเทียบความต้องการพลังงาน โปรตีน และน้ำต่อน้ำหนักตัว
ทารกจะต้องการมากกว่าวัยอื่นๆ ทารกจะเติบโตได้เมื่อรับอาหารเพียงพอเท่านั้น
และถ้าได้รับสารอาหารครบถ้วนก็จะทำให้ร่างการปกติ แข็งแรง และมีภูมิต้านทานโรค
ฉะนั้นการประเมินความเจริญเติบโตต้องมีความต่อเนื่อง สม่ำเสมอ
ถ้ามีความผิดปกติจะได้รีบแก้ไขทันที การตรวจสอบการเจริญเติบโตของทารก
ทำได้หลายวิธีคือ- 1.
การชั่งน้ำหนักตัว โดยปกติทารกจะมีน้ำหนักตัวประมาณ 3,000
กรัม
2. การวัดความยาวของลำตัว แรกเกิดทารกจะมีความยาวของลำตัวประมาณ 50 เซนติเมตร
3. การวัดรอบศีรษะ โดยเฉลี่ยวัดรอบศีรษะของทารกแรกเกิดจะได้ประมาณ 34 เซนติเมตร
4. การวัดรอบต้นแขน
5. การเจริญของฟัน โดยปกติฟันซี่แรกของทารกจะขึ้นเมื่ออายุประมาณ 6 เดือน
- พัฒนาการของเด็กวัยทารก
พัฒนาการด้านต่างๆทั้งด้านร่างกาย อารมณ์ สังคม ถือได้ว่าเป็นพื้นฐานสำคัญของพัฒนาการวัยต่างๆไป พัฒนาการของทารกจะเริ่มต้นจากศีรษะไปหาลำตัว และส่วนขาตามลำดับเหมือนกันทุกคน การช้าหรือเร็วของพัฒนาการของทารกแต่ละคนไม่เท่ากัน ขึ้นอยู่กับการเจริญเติบโตของสมองและระบบประสาท ซึ่งเป็นผลมาจากพันธุกรรมและสิ่งแวดล้อม
พัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจ
ทารกที่ได้รับการเลี้ยงดูโอบอุ้ม เอาใจใส่ ได้รับการตอบสนองที่เหมาะสม ก็จะป็นเด็กที่อารมณ์ดีเป็นมิตร ในทางตรงกันข้ามทารกที่ถูกทอดทิ้ง จะมีลักษณะที่เงียบเหงา เฉยเมย ไม่สนใจใคร ฉะนั้นการเสริมสร้างพัฒนาการด้านอารมณ์และจิตใจของเด็ก ควรให้มีการสัมผัส อุ้ม พูดคุยด้วยท่าทีที่เป็นมิตร ร้องเพลงให้ฟัง เป็นต้น
พัฒนาการทางสังคม
วัยทารกเป็นวัยเริ่มต้นของพัฒนาการทางสังคมของมนุษย์ การที่เด็กจะอยู่ร่วมกับผู้อื่นในสังคมได้ดีหรือไม่นั้นต้องเริ่มจากแรกเกิด ถ้าทารกได้รับความรัก ความอบอุ่น ได้รับการเลี้ยงดู เอาใจใส่ดี อีกทั้งได้รับการตอบสนองตามความต้องการอย่างเหมาะสม จะทำให้เขารู้สึกวางใจต่อคนรอบข้างและสังคม เห็นความสำคัญ มีทัศนคติที่ดี อีกทั้งเห็นคุณค่าของการเป็นสมาชิกที่ดีของสังคม
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา
พัฒนาการด้านนี้ เด็กเริ่มเรียนรู้และสร้างความสัมพันธ์จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวได้จากการใช้ อวัยวะสัมผัสต่างๆ โดยทารกจะแสวงหาพฤติกรรมซ้ำๆ ในระยะแรกอาจจะไม่มีจุดมุ่งหมาย จากนั้นลองผิดลองถูกไปเรื่อยๆ จนเกิดการเรียนรู้และสามารถแก้ปัญหาต่างๆได้ ทั้งนี้พัฒนาการทางด้านสติปัญญาวัยทารกจะมีพื้นฐานเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับ พ่อแม่ ผู้ใกล้ชิด ที่จะส่งเสริมให้เด็กได้มีโอกาสได้แสดงพฤติกรรมที่ตอบสนองความต้องการของ ทารกปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของเด็กทารกแรกเกิดถึง 1 ปี
- 1.
พันธุกรรม โดยเฉพาะด้านสติปัญญาพบว่า เด็กที่มีระดับสติปัญญาปกติจะมีอัตราการพัฒนาดีกว่าเด็กที่มีสติปัญญาต่ำ
2. อาหาร เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเจริญเติบโตและพัฒนาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสมอง ระยะ 6 เดือนแรกหากทารกขาดสารอาหาร จะทำให้สมองพิการไปตลอดชีวิต
3. ความรักความอบอุ่น ทารกที่ได้รับความรักความอบอุ่น ได้รับการตอบสนองในสิ่งที่ต้องการจะช่วยให้เป็นเด็กอารมณ์ดี เป็นมิตร ช่วยให้มีพัฒนาการดีในทุกๆด้าน
4. ฐานะทางเศรษฐกิจและสังคม พ่อแม่ที่มีความพร้อม มีฐานะที่จะเลี้ยงดูบุตรได้ สามารถเลี้ยงทารกให้รอดตายได้มากกว่าพ่อแม่ที่ขาดความรู้ ยากจน และมีความเชื่อผิดๆเกี่ยกับสุขภาพอนามัย
5. ขนบธรรมเนียมประเพณีและวัฒนธรรม เด็กไทยได้รับการเลี้ยงดูให้ช่วยตัวเองน้อย ทำให้รับผิดชอบตนเองได้ช้า เป็นภาระหนักของพ่อแม่ที่ต้องเลี้ยงดูลูกเป็นระยะเวลาที่ยาวนาน ตรงข้ามกับเด็กต่างชาติตะวันตกที่ได้รับการเลี้ยงดูให้ช่วยตนเองตั้งแต่วัยเด็ก
6. การเจ็บป่วย ก่อให้เกิดการชะงักของพัฒนาการ เด็กที่เจ็บป่วยหรือได้รับอุบัติเหตุ ทำให้เกิดความอ่อนแอทางร่ายและจิตใจ ทำให้ย้อนกลับไปเป็นเด็กมากกว่าที่เป็นอยู่
วันพฤหัสบดีที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2555
การออกกำลังกายของวัยรุ่น
ขณะ ที่ร่างกายกำลังเจริญเติบโต การออกกำลังกายเป็นประจำทุกวัน จะช่วยให้ร่างกายเติบโตสมส่วน ช่วยให้ระบบย่อยอาหารดีขึ้น ผิวหนังสดชื่น ช่วยให้การทำงานประสานกัน ระหว่างระบบกล้ามเนื้อ กับระบบประสาทดีขึ้น มีความคล่องตัว ช่วยให้นอนหลับสนิท การออกกำลังกายน้อย หรือไม่เคลื่อนไหว จะเป็นปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญต่อการ เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมองแตก เพิ่มปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญอื่นๆ เช่น ความอ้วน ความดันโลหิตสูง การออกกำลังกายสม่ำเสมอ ย่อมส่ผลให้มีความสมบูรณ์แข็งแรง ของหัวใจและหลอดเลือด
การออกกำลังกายเพื่อสุขภาพ
คือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ต่อเนื่องกันไม่น้อยกว่า 10 นาที โดยไม่มีช่วงพัก ระหว่างการออกกำลังกาย เป็นการออกกำลังกายชนิดที่ เสริมสร้างความอดทนของปอด หัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด รวมทั้งความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และข้อต่อ ประกอบด้วย 3 ระยะ คือ
- ระยะอบอุ่นร่างกาย เป็นระยะที่เริ่มออกกำลังกาย เพื่อยืดกล้ามเนื้อ เสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และคววามอ่อนตัวของข้อต่อ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
- ระยะฝึกฝนร่างกาย เป็นระยะที่บริหารความอดทนของปอด หัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด ใช้เวลาประมาณ 10-30 นาที
- ระยะผ่อนคลายร่างกาย เป็นระยะที่จะทำให้ร่างกาย เข้าสู่สภาวะปกติ หลังฝึกฝนร่างกาย และเพื่อยืดกล้ามเนื้อ และความอ่อนตัวของข้อต่อ ใช้เวลาประมาณ 5-10 นาที
การ ออกกำลังกายในวัยนี้ ควรยึดความหลากหลาย เพื่อพัฒนากล้ามเนื้อ ให้ครบทุกส่วนของร่างกาย และปฏิบัติให้เป็นกิจวัตรประจำวัน วันละ 1 ชั่วโมง เช่น การวิ่ง ว่ายน้ำ ถีบจักรยาน เล่นบาสเกตบอล วอลเล่ย์บอล แบดมินตัน เทนนิส
หลักในการออกกำลังกาย
- ควรออกกำลังกายที่ใช้กล้ามเนื้อมัดใหญ่ เช่น แขน ขา ลำตัว
- ออกกำลังกายอย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน
- ออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง วันละ 20-30 นาที
- ควรออกกำลังกายให้มีอัตราส่วน การเต้นของหัวใจประมาณ 90-110 ครั้ง/นาที
- ก่อนออกกำลังกาย ควรอบอุ่นร่างกาย และควรผ่อนร่างกายให้เย็นลง เมื่อสิ้นสุดการออกกำลังกาย
- ก่อนอาหาร
- ถ้าหลังอาหาร ควรเว้นระยะห่าง 2 ชั่วโมง
- เวลาแล้วแต่ว่างหรือชอบ ถ้าออกกำลังกายกลางคืน ควรพัก 1 ชั่วโมง ก่อนเข้านอน
- ควรออกกำลังกายเวลาเดียวกัน เช่น ทุกเช้า ทุกเย็น หรือทุกวันจันทร์ พุธ ศุกร์ หรือวันอังคาร พฤหัสบดี เสาร์
- ไม่ควรออกกำลังกาย ที่ต้องออกแรงเกร็ง หรือเบ่ง เช่น การยกน้ำหนัก กระโดด หรือวิ่งดวยความเร็วสูง
- ไม่ควรออกกำลังกาย ที่ต้องออกแรงกระแทก โดยเฉพาะข้อเข่า เช่น การกระโดด การขึ้นลงบันไดสูงมากๆ หรือการนั่งยองๆ
- ไม่ควรบริหารร่างกาย ในท่าที่ใช้ความเร็วสูง หรือเปลี่ยนทิศทางในการฝึกอย่างฉับพลัน หรือเดินทางลาด ทางลื่น
- ไม่ควรออกกำลังกาย ในที่ที่มีอากาศร้อนอบอ้าว หรือแดดจัด จะทำให้ร่างกายเสียน้ำ และเกลือแร่มาก
- ไม่ควรออกกำลังกาย ในขณะที่ร่างกายรู้สึกอ่อนเพลีย หรือไม่สบาย
จะ ต้องเลือกกิจกรรมที่เหมาะสมกับอายุ โดยกิจกรรมนั้น จะต้องใช้กล้ามเนื้อของร่างกาย ให้ออกเรงติดต่อกันเป็นระยะเวลานานพอ จึงจะมีผลต่อการเสริมสร้างความอดทนของปอด หัวใจ และระบบไหลเวียนเลือด ซึ่งขึ้นอยู่กับความหนักของการออกกำลังกาย ตัวอย่างเช่น
เดินเร็ว | อย่างน้อยวันละ 30 นาที |
วิ่งเหยาะ | อย่างน้อยวันละ 20 นาที |
ถีบจักรยาน | อย่างน้อยวันละ 30 นาที |
กระโดดเชือก | อย่างน้อยวันละ 10 นาที |
ว่ายน้ำ | อย่างน้อยวันละ 20 นาที |
เต้นแอโรบิค | อย่างน้อยวันละ 15 นาที |
การอบอุ่นร่างกาย
การออกกำลังกาย ให้ปลอดภัย
และ ได้ผลด ีท่านผู้อ่านจะต้องรู้จัก
เลือกวิธีการออกกำลังกาย ให้เหมาะสมกับสุขภาพของตัวท่าน และ
ยังต้องปฏิบัติตามขั้นตอนของการออกกำลังกายซึ่งประกอบไปด้วย
- การอบอุ่นร่างกายใช้เวลา 5-10 นาที
- การยืดกล้ามเนื้อควรจะทำอย่างน้อย 2 ครั้งต่อสัปดาห์ครั้งละ 20นาที
- ความทนทานของกล้ามเนื้อ ควรจะออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความทนทานของกล้ามเนื้อ เช่น การยกน้ำหนัก situp pushup ควรจะออกครั้งละ 30 นาที 3 ครั้งต่อสัปดาห์
- การออกกำลังกายเพื่อให้หัวใจแข็งแรง ควรจะออกประมาณ 30-60 นาทีต่อวันสัปดาห์ละอย่างน้อย 3 ครั้ง ตัวอย่างการออกกำลังได้แก่ การเดินเร็ว การวิ่ง การขี่จักรยาน การว่ายน้ำ การเดินขึ้นบันได
- การยืดหยุ่นเพื่อความคล่องตัว Flexibility
- การอบอุ่นร่างกาย
- การอบอุ่นร่างกายเป็นการเพิ่มการเต้นของหัวใจ เพิ่มอุณหภูมิของร่างกาย และเพิ่มการหายใจอย่างช้าๆ การอบอุ่นที่ได้ผลดีร่างกายจะต้องมีอุณหภูมิเพิ่มขึ้น มีเหงื่อออก
- การอบอุ่นร่างกายที่ดีจะต้องมีการเคลื่อนไหวของข้อ โดยเฉพาะข้อที่ใช้ในการออกกำลัง เช่นข้อเท้า ข้อเข่า สะโพก หลัง ไหล่
- ยืดกล้ามเนื้อที่ใช้ในการออกกำลังกายข้อแนะนำในการยืดกล้ามเนื้อ
- การยืดกล้ามเนื้อควรจะทำหลังจากการอบอุ่นร่างกายแล้ว
- การยืดกล้ามเนื้อควรยืดเฉพาะกล้ามเนื้อที่ใช้เท่านั้น และไม่ควรมากไป เพราะจะทำให้หัวใจเต้นลดลง
- ควรจะเลือกท่ายืนเป็นหลักเพราะจะทำได้เร็ว
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)